ว่าด้วยเรื่อง"ความฝัน"
ความรู้วิทยาศาสตร์ในด้านจิตวิทยาบอกเราว่า
ความฝันคือความคิดตามธรรมชาติในยามหลับหรือความคิดที่ค้างในยามหลับ
ความหมายก็คือสภาพร่างกายของคนเราหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเลือดลม
เกิดอาการบางอย่าง
เช่นรู้สึกหิวน้ำขึ้นมาก็อาจฝันไปว่าเดินอยู่ในทะเลทรายและกระหายน้ำเหลือ
เกิน ระบบในร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ ฯลฯ
และสภาพร่างกายทั้งหมดทำให้เราเกิดความคิดอย่างนั้นขึ้น
ซึ่งเป็นความคิดธรรมชาติในยามหลับ
มีคนจำนวนมากเชื่อว่า ความฝันคือลางบอกเหตุ
สามารถใช้เป็นข้อมูลในการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง
ความเชื่อเช่นนี้ทำให้หลายคนให้ความสำคัญกับความฝันขนาดหนัก
จนบางครั้งเกิดเป็นความวิตกทุกข์ร้อน กินไม่ได้นอนไม่หลับเมื่อฝันไม่ดี
นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า ความฝันคือสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจของเรา
ส่วนมากก็เป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน เช่น เราคิดอยู่ในใจว่าต้องไปร่วมงาน
งานหนึ่ง เป็นความคิดวูบขึ้นมาแต่ไม่ถึงกับจริงจังหรือใส่ใจคิด
ขณะเดียวกันความคิดวูบนั้นก็ยังไม่จบสิ้น
เมื่อนอนหลับก็ยังเกิดข้อถกเถียงกับตนเองว่าควรไปร่วมงานหรือไม่
เสียงคัดค้านดังอยู่ในสมอง เสียงบ่นก็อยู่ในสมอง ฯลฯ
ความฝันจึงไม่ได้บอกเหตุอะไร
เพราะเป็นเพียงความคิดของเราเองที่ยังคิดคงค้างอยู่ในใจแต่ยังไม่เสร็จสรรพ
ความฝันนั้นก็ช่วยให้จบเรื่องไป ถ้าจะเป็นลางบอกเหตุอะไร
ก็เป็นการบอกกล่าวจากตัวเราเองว่าต้องการอะไรหรือขาดอะไรไปบ้าง
รวมไปถึงความวิตกกังวลต่างๆ
ไม่ใช่ปาฏิหาริย์จากสิ่งอื่นเลยครับ และคงเคยได้ยินใครบางคนพูดว่า
แหม...วันนี้ฝันดีได้เลขเด็ด
ถ้าอย่างนั้นความฝันก็ย่อมมีความสำคัญขนาดหนักทีเดียว
เพราะช่วยให้ชีวิตสุขสบายทางวัตถุโดยไม่ต้องเหนื่อยยากอะไรเลย
เรื่องของคนชอบตีความฝันเป็นตัวเลข เพื่อไปซื้อลอตเตอรี่หรือแทงหวย
ก็เป็นความหวังอย่างหนึ่งของมนุษย์ เป็นเรื่องความอยากรวย
อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น จึงนำความฝันที่เป็นสัญลักษณ์ออกมาตีความ
ความฝันนั้นเป็นสัญลักษณ์ก็จริง
แต่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเล่นหวยเลย
แต่คนเราลองจะเชื่อก็โน้มน้าวตัวเองให้เชื่อได้ทั้งนั้น
พยายามสรรหาเหตุผลทุกอย่างมาอ้างมาสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง
อะไรที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องบังเอิญทั้งนั้น
พูดอย่างง่ายที่สุดได้ว่า ความฝันไม่ใช่คนอื่น ความฝันไม่ใช่สิ่งอื่น ความฝันคือตัวเราเท่านั้นเอง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น